บทความนี้ผมเอามาจากคุณ strawberry machine gun เคยโพสเอาไว้ที่ PANTIP นะคับ
เป็น review อัลบั้ม awake พี่เค้าเขียนได้ดีมาก เลยอยากเอามาให้อ่านกัน ครับ
L’arc-en-Ciel : Awake (2005)
ผมเริ่มฟังเพลงญี่ปุ่นครั้งแรกจากการแนะนำของลูกพี่ลูกน้อง เมื่อประมาณเกือบสิบปีก่อน (ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มฟังเพลงฝรั่งได้ไม่นาน) ภาพแรกที่รู้จักคือชายหนุ่มผมยาว แต่สวยราวกับผู้หญิงที่ชื่อ Yoshiki กับลีลากระหน่ำกลองอย่างบ้าคลั่ง และการพรมนิ้วลงบนเปียโนอย่างอ่อนหวาน พร้อมๆ กับเริ่มรู้จักศิลปินญี่ปุ่นรายอื่นจากดีเจสองคนคือ พี่โจ มนฑาณี และพี่เอ็ดดี้ แห่ง j-pop พรมแดนทางดนตรีของผมก็พลันเปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
วงดนตรีประเภท visual rock ของญี่ปุ่นเป็นแนวที่กำลังมาแรงมาก วงร็อกที่เล่นดนตรีหนัก แต่แต่งตัวฟู่ฟ่าราวกับสตรี ภาพความขัดแย้งแบบนี้เป็นสิ่งที่ศิลปินไทยไม่มี และทำให้วงดนตรีร็อกจากแดนอาทิตย์อุทัยมีเสน่ห์ลึกลับที่น่าติดตาม ในช่วงเวลาที่ X เป็นเบอร์หนึ่งของเกาะญี่ปุ่น สี่หนุ่มอีกกลุ่มนาม L’arc-en-ciel ที่มีนักร้องนำผมยาวหน้าสวยมาก ก็กำลังเริ่มสร้างเส้นทางสายดนตรีของพวกเขาเอง
ผมรู้จัก larc ครั้งแรกจาก mv เพลง burry eyes และเริ่มต้นฟังจริงจังจากอัลบั้ม heavenly และ true ก่อนจะหลงเสน่ห์ดนตรีแบบ larc เข้าไปเต็มๆ ในอัลบั้ม heart มันมีทั้งความป๊อป ความหวาน และความหนักแน่นที่ผสมกันอย่างลงตัว ผมเข้าร่วมเป็นหนึ่งในพลพรรค larc แบบเต็มๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
X แยกวง hide จากไปอย่างไม่มีใครคาดคิด รายการ j-pop หลุดผัง เพลงญี่ปุ่นเริ่มหาฟังง่ายขึ้น ซีดีหลายแผ่นได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายในประเทศไทย แต่ผมกลับห่างหายจากการฟังเพลงญี่ปุ่นตั้งแต่ตอนนั้น เสน่ห์หลายอย่างที่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงมันขาดหายไป ผมติดตามเพลงญี่ปุ่นอยู่บ้างแบบห่างๆ เห็นข่าวคราวการแยกวงของศิลปินที่ชื่นชอบ การแจ้งเกิดของศิลปินหน้าใหม่ และกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไปตามกระแสโลก ผมคงตามไม่ทันแล้วมั้งครับ
ท่ามกลางการเกิดและดับของศิลปินหลายราย เพื่อนเก่าของผมยังคงอยู่ พร้อมกับความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัลบั้ม smile ถูกปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่ผมไม่ได้ติดตามฟังเพลงญี่ปุ่นเท่าไหร่แล้ว (หลังจาก heart แล้ว ช่วงอัลบั้มคู่ ark&ray คืออีกช่วงที่สุดยอดมาก ส่วนอัลบั้ม real คืออัลบั้มสุดท้ายที่ผมซื้อก่อนจะขาดการติดต่อกับพวกเขาไป) ดีใจมากที่เมืองไทยได้สิทธิ์แผ่นนี้ในการจำหน่าย (มิฉะนั้นผมก็คงไม่ได้รู้เรื่องหรอกครับ) smile เหมือนเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน พอได้มาเจอกันอีกครั้งก็ยังคุยกันได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้ผมหวนนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยที่ผมเคยบ้าซื้อรูปนักร้อง ดูคอนเสิร์ตจาก vdo และเก็บเงินไปสั่งแผ่น
ผมย้อนอดีตนานไปหน่อยไหมครับเนี่ยะ (คือยังไม่เข้าเรื่องที่อยากจะเขียนเลยอ่ะครับ) แต่ว่าความรู้สึกตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นมากๆ เลยครับ เหมือนคนเริ่มแก่ที่ชอบนึกถึงอดีต ผมผ่านตา mv เพลงใหม่ ของ larc จากเคเบิ้ลอยู่หลายครั้ง พร้อมกับความรู้สึกถวิลหาอดีตที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เพราะ mv ที่ดูนั้น เพลงมันโดนใจมากๆ ผมเลยตั้งใจจะกลับมาติดตามเพลงญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง ความตั้งใจของผมได้รับการตอบสนองหลังจากนั้นไม่นานนัก เมื่ออัลบั้ม awake งานชุดล่าสุดจาก larc วางแผงในเมืองไทยเรียบร้อย ผมไม่รีรอที่จะซื้อแผ่นนี้มาฟัง เพื่อดูว่าเพื่อนเก่าของผมตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
12 เพลงในงานชุดนี้คือ larc ที่ผมคุ้นเคย เสียงร้อง hyde ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแผดเสียง การเอื้อน หรือการหลบเสียงที่ยังคงเสน่ห์เอาไว้เต็มเปี่ยม เสียงกีต้าร์ของ ken ที่ยังคงความสดชื่นและความหวานเอาไว้ คู่ไปกับภาพบุหรี่ที่มุมปาก (อันนี้ไม่น่าเอาอย่างเท่าไหร่) เสียงเบสของ tetsu ที่เดินไปตลอดทั้งเพลง และเสียงกลองของ yukihiro ที่พิสูจน์ว่าตอนนี้เขากลายเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของ larc ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หลายสิ่งหลายอย่างก็บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเขาเดินทางมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากนัก และเป็นการเดินทางที่ทำให้พวกเขาเติบโตอย่างเข้มแข็งเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็น sound ที่ฟังดูทันสมัย และโฉบเฉี่ยว การทดลองสร้างสิ่งแปลกใหม่ในหลายเพลงอย่างไม่กลัวใครจะรับไม่ได้ ทีมเวิร์คที่แน่นปั๊ก ชนิดที่ว่าไม่สามารถขาดใครคนใดคนหนึ่งไปได้เลย
เปิดอัลบั้มด้วย New World กีต้าร์แรงๆ กับเมโลดี้สวยๆ เพลงนี้เพลงเดียวก็เรียกบรรยากาศเก่าๆ กลับคืนมาได้หมดเลยครับ สมกับเป็นเพลงเปิดอัลบั้มจริงๆ Lost Heaven ยังคงคึกคัก เป็น larc ในแบบที่คุ้นเคย เพลงที่ 3 (ชื่อภาษาญี่ปุ่นอ่ะครับ อ่านว่าไรช่วยบอกหน่อย) เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลด้วย รวมทั้ง mv สุดเฉียบ (ที่จริงเขาต้องเรียก pv ใช่ไหมครับ แต่ผมไม่ค่อยถนัดปากอ่ะ) เพราะมากๆ เสียงเครื่องสายแบบที่คิดถึงก็กลับมาให้ได้ยินกันด้วย Trust เป็นเพลงต่อมาครับ เพลงนี้ขึ้นต้นได้เฉี่ยวมาก เป็นรสชาติใหม่ที่ larc มักจะหยิบมาใช้ในช่วงหลัง ก่อนจะกลับไปร็อกแบบเดิมในช่วงฮุค Killing Me เท่สุดๆ เลยครับ โดยเฉพาะช่วงอินโทร สมกับเป็น larc ในยุคนี้จริงๆ (ฟังแล้วนึกถึง the smashing pumpkins เหมือนกันนะครับ) As One หนักหน่วงแบบ industrial sound มาเลยครับ ก่อนจะกลับไปมีเมโลดี้หวานๆ ในท่อนฮุค
My Dear ขึ้นต้นมาชวนให้นึกถึงบรรยากาศแบบ Luna Sea ทั้งเสียงร้องและดนตรี แต่ larc ก็ยังคงเอกลักษณ์ของเอาไว้ได้อย่างชัดเจน ผมว่าเพลงนี้ผสมอะไรหลายอย่างได้เก๋ไก๋มาก Existence กลับมาคึกคักต่ออีกครั้ง ร็อกกระจายเลยครับ แต่ท่อนฮุคหักมุมเฉยเลย หวานมากกกกก เท่สุดยอดเลยครับ ผสมทั้งความหนักมากกับหวานมากไว้ในเพลงเดียวกันได้ขนาดนี้ เพลงที่ 9 (ภาษาญี่ปุ่นอีกแล้วครับ) เพลงซิงเกิ้ลอีกเพลง (mv เป็นคนใส่นาฬิกาอะไรซักอย่างแล้วต้องวิ่งไปช่วยผู้หญิงอ่ะครับ) สมบูรณ์แบบครับ มีกลิ่นให้คิดถึง larc ยุคแรกๆ นิดหน่อยด้วย ป๊อปมาก เพราะมาก และเจ๋งมาก สมควรตัดเป็นซิงเกิ้ลจริงๆ Ophelia ผสมแจ๊ซเข้ามาด้วยครับ เสียงเปียโนเป็นพระเอก (เล่นคลอไปทั้งเพลงเลยครับ) แล้วก็มีเสียงเครื่องเป่าเป็นนางเอก (โหยหวนดีจัง) เพลงที่ 11 (ภาษาญี่ปุ่นอีกแล้วครับ) ขึ้นต้นมาหม่นมากเลยครับ แล้วค่อยๆ พุ่งขึ้น ก่อนจะระเบิดที่ท่อนฮุค ซึ่งอลังการมากๆ เต็มอิ่มเต็มอารมณ์จริงๆ ครับ ปิดท้ายอย่างสดชื่นด้วย twinkle, twinkle เพลงน่ารักดีครับ ติดหูมากๆ
สี่หนุ่ม larc เมื่อ 10 ปีก่อน กลายเป็นสี่ลุงในตอนนี้ไปแล้วครับ แต่ความยอดเยี่ยมของพวกเขายังอยู่ครบ แถมดูท่าว่าจะเก๋าขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซิครับ ถ้านับจาก real กับ smile ผมว่า larc กำลังพยายามหาทางเดินใหม่ๆ ในการก้าวต่อไปข้างหน้า ส่วน awake คือการค้นพบทางเดินดังกล่าวแล้ว และเป็นทางที่ทั้งสี่ลุงกำลังก้าวเดินไปอย่างมั่นคงในตอนนี้ เป็นการเติบโตขึ้นของเพื่อนเก่าที่โตและเล่นมาด้วยกัน อย่างน่าชื่นชมครับ
สรุป
เต็ม 10 จะเป็นเพราะความลำเอียงหรืออะไรก็ตาม เอา 10 เต็มไปเลยครับ
Package แผ่นไทย ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ภาพสี่ลุงใน booklet เท่มากกก (แผ่นญี่ปุ่นเป็นไงบ้างครับ)
หมายเหตุ
1. เหมือนฟ้าจะแกล้ง พอผมตัดสินใจจะกลับมาตามเพลงญี่ปุ่นอีกครั้ง อะไรก็ดูเป็นใจไปหมดเลยครับ และที่ตัดสินใจเขียนรีวิวอัลบั้มชุดนี้ (ทั้งๆ ที่ออกมาได้ซักพักแล้ว) ก็เป็นเพราะบรรยากาศเก่าๆ เหล่านั้นกำลังหวนคืนมาน่ะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับมาของ j-pop ที่ยังคงเป็น j-pop เหมือนเดิม (หวังว่าคราวนี้จะอยู่ได้นานๆ นะครับ)
2. ฟัง j-pop ได้ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ทาง FM 100.25 เวลา 20.30-24.00 น. พี่เอ็ดดี้คนเดิม พร้อมคุณตุ๊ก กลับมาจัดด้วยกันอีกครั้ง
3. รีวิวนี้ยาวสุดตั้งแต่เคยเขียนมาเลยครับ
Credit : strawberry machine gun
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น